วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

องค์กรบริหารจัดการอินเทอร์เน็ต

องค์กรบริหารจัดการอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ตผ่านการบริหารจัดการโดยองค์กรหลายแห่ง องค์กรเหล่านี้มีทั้งองค์กรที่ทำหน้าที่ผลักดันการเติบโตของอินเทอร์เน็ต องค์กรพัฒนามาตรฐานโปรโตคอล และองค์กรจัดการด้านทะเบียนเครือข่ายเป็นต้น องค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ประสานงานกันเพื่อพัฒนาอินเทอร์เน็ตโดยมิได้ทำหน้าที่สั่งการหรือควบคุม อินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครือข่ายอิสระที่ไม่อยู่ภายในกำกับโดยองค์กรใดโดยเฉพาะ เครือข่ายในอินเทอร์เน็ตต่างตกลงเชื่อมโยงเข้าหากันและบริหารเครือข่ายของตนเองโดยอิสระ โครงสร้างการบริหารจัดการขององค์กรในอินเทอร์เน็ตอาจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ องค์กรพัฒนาอินเทอร์เน็ต และองค์กรดูแลด้านข้อมูลและทะเบียนองค์กรพัฒนาอินเทอร์เน็ต
องค์กรในกลุ่มนี้ทำหน้าที่สนับสนุนการใช้งานอินเทอร์เน็ต และพัฒนาโปรโตคอลมาตรฐานเพื่อใช้ในอินเทอร์เน็ต องค์กรในกลุ่มนี้ประกอบด้วย ไอซ็อก ไอเอบี ไออีทีเอฟ และไออาร์ทีเอฟ โดยมีโครงสร้างระหว่างองค์กรดังรูปที่ 1 แต่ละองค์กรมีภาระหน้าที่ดังต่อไปนี้

อินเทอร์เน็ตสำหรับทุกหนทุกแห่ง



เมื่อสิบปีที่แล้ว เคยมีบทความเกี่ยวกับเรื่องิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นความพยายามของมนุษย์ ในบทความนั้นมีการกล่าวถึงโครงการหนึ่งที่น่าสนใจคือ "การประชุมคนทั้งโลกในห้องประชุมเดียวกัน" และการกำหนดวาระการประชุมแห่งโลก ในทางเทคนิคแล้วหลายคนอาจคิดว่ายังห่างไกลและยากที่จะเกิดขึ้นได้ แต่หากย้อนดูการพัฒนาอินเทอร์เน็ตขึ้นมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วเกินคาด การประชุมทั้งโลกดูจะมีแนวโน้มของความเป็นไปได้ทำอย่างไรจึงจะให้ทุกคนบนพื้นโลกติดต่อถึงกันได้

อินเทอร์เน็ตกับโลกาภิวัฒน์





อินเทอร์เน็ตได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามเย็น กระทรวงกลาโหมอเมริกันต้องการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ ในเรื่องทางทหาร ต่อมาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้รับการนำมาประยุกต์เพื่องานวิจัยและความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หลังปี ค.ศ. 1981 เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีพัฒนาการที่รวดเร็ว และก้าวหน้าจนมีผู้ใช้เชื่อมโยงกันทั่วโลก ปัจจุบันเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมผู้ใช้ทั่วโลก มีจำนวนผู้ใช้หลายร้อนล้านคน และสร้างบทบาทสำคัญยิ่งในเรื่องโลกาภิวัฒน์

การจัดองค์กรเทคโนโลยีสารสนเทศให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมของชุมชน





โลกแห่งธุรกิจในปัจจุบันเป็นโลกแห่งการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะการดำเนินการทางธุรกิจต้องการความรวดเร็วในด้าน การบริการ และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ระบบการใช้ข้อมูลข่าวสารทั้งในแง่การดำเนินการและการบริหารจึง เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก
มีการพูดกันถึงเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EDI - Electronic Data Interchange) ก่อให้เกิดกระแส การทำงานในรูปแบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน ทั้งจากภายใน (อินทราเน็ต) และเชื่อมโยงในระดับสากล (อินเทอร์เน็ต) การดำเนินการ ค้าจึงปรับเปลี่ยนรูปเป็นพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (electronic commerce) ในลักษณะของการดำเนินการต่าง ๆ ขององค์กรยังมี กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้เกิดการรวมกลุ่มและทำงานร่วมกันในลักษณะพันธมิตร การทำงานจึงมีลักษณะเป็น eBusiness หรือการทำงานธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไของค์กรให้ เหมาะสมกับยุคสมัยการคำนวณบน เครือข่าย (network computing) โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวนำ

5 นาทีกับการจัดการความรู้

5 นาทีกับการจัดการความรู้
อ. สมชาย นำประเสริฐชัย



ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหน ความรู้นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้บุคคลหรือองค์กรประสบความสำเร็จในระยะยาว และในอนาคตนี้จะทวีความสำคัญมากยิ่ง ๆ ขึ้น แต่ละองค์กรจำเป็นต้องมีกระบวนการเพื่อให้มีความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็วกว่าคู่แข่ง การจัดการโครงสร้างการจัดการความรู้ที่เหมาะสมมาใช้ในเวลาที่ต้องการ นอกจากนี้ฐานความรู้ยังช่วยให้องค์กรสามารถให้เหมาะสมได้ เพราะว่าในส่วนของความรู้ ความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่เคยขึ้นอยู่กับตัวบุคลากรนั้นจะถูกเก็บอยู่ในฐานความรู้แทน ความรู้เป็นสิ่งที่สามารถได้รับจากหลาย ๆ แหล่งที่อิสระ เช่น การเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ ฐานข้อมูล หรือระบบสารสนเทศต่าง ๆรู้จักกับ KBS และ KM

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

ไมโครคอมพิวเตอร์กับแม่บ้าน

ไมโครคอมพิวเตอร์กับแม่บ้าน
ปัจจุบันไมโครคอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของคนโดยทั่วไป ซึ่งในความหมายของไมโครคอมพิวเตอร์แบบง่าย ๆ ซึ่งทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้คือ "ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างแทนคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ" ฉะนั้น ยิ่งใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มากเท่าไร ก็ยิ่งจะมีแรงงานเหลือที่จะทำงานอย่างอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น การศึกษาหาความรู้เรื่องไมโครคอมพิวเตอร์ไว้เพื่อว่าอย่างน้อยจะได้เข้าใจ และทำการศึกษาได้อย่างรวดเร็วเมื่อถึงคราวจำเป็นจะต้องใช้มันจริง ๆ

โครงสร้างองค์กรกับระบบสารสนเทศ

โครงสร้างองค์กรกับระบบสารสนเทศ




ปัจจุบันมีการกล่าวถึงวิธีการรื้อปรับระบบองค์กรใหม่ ในรูปแบบที่เรียกว่า business reinvention กล่าวคือ การปรับปรุงและสร้างค์องค์กรใหม่ โดยนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ในองค์กร
สารสนเทศเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง เราแบ่งระดับสารสนเทศออกเป็น 4 ระดับคือ ระดับส่วนบุคคล ระดับกลุ่มหรือแผนก ระดับองค์กรและระดับระหว่างองค์กร โดยทุกระดับจะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรที่จำเป็นต้องนำมาใช้เพื่อประกอบกัน และให้ได้ประโยชน์จากสารสนเทศ ประกอบด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร ซอฟต์แวร์ ข้อมูล ชั้นตอนการปฏิบัติงาน ได้แก่ กฏระเบียบต่าง ๆ และตัวบุคลากรเอง
ศูนย์สารสนเทศขององค์กร คือหน่วยงานที่จะบริหารและจัดการทรัพยากรสารสนเทศ ที่ต้องลงทุนทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ศูนย์สารสนเทศขององค์กรตามแนวความคิดใหม่ จึงต้องประสานกับธรรมชาติของการทำงานขององค์กรที่มีบุคลากรเป็นแกนนำ เพราะบุคลากรทุกคนย่อมเป็นผู้ใช้สารสนเทศ และยังต้องมองเลยไปเป็นระดับกลุ่ม ระดับองค์กร และระดับระหว่างองค์กร การทำงานในทุกระดับจะต้องประสานการใช้ประโยชน์ให้เกิดกับองค์กรได้สูงสุดลักษณะและจุดมุ่งหมายของศูนย์สารสนเทศ
คอมพิวเตอร์มีการพัฒนาการมาจากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพง โดยการใช้ประโยชน์จึงเริ่มจากการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกันในอดีต มีศูนย์คอมพิวเตอร์กลาง ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาพีซี แนวคิดจึงเริ่มจากการพัฒฒนาให้ระบบใช้งานส่วนตัว และต่อมาพัฒนาเป็นเครือข่ายที่ทำงานร่วมกัน ดังนี้นลักษณะของการใช้ระบบคอมพิวเตอร์จึงมีลักษณะตามสภาพของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของเทคโนโลยี โดยเฉพาะระบบคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารข้อมูล ระบบเครือข่าย รูปแบบการช้ระบบคอมพิวเตอร์จึงมีรูปแบบดังนี้

  • การใช้แบบเครื่องหลัก (Host base) ในยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์มีราคาแพง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเมนเฟรม ซึ่งมีการจัดการฐานข้อมูลอยู่ส่วนกลางและแบ่งการใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์หลักเป็นเครื่องที่รวมทรัพยากรทั้งหมดไว้ที่ศูนย์กลาง ผู้ใช้เพียงแต่ต่อสายออนไลน์ และใช้กำลังการคำนวณทั้งหมดจากเครื่องหลัก สถานีปลายทางจึงเป็นเพียงแค่เทอร์มินัลเท่านั้น
    การใช้งานแบบเครื่องหลัก
    รูปที่ 1 การใช้งานแบบเครื่องหลัก เพื่อเป็นการสนับสนุนข้อมูลข่าวสารขององค์กร
  • การใช้งานแบบเครื่องเดี่ยว (stand alone) เมื่อมีการพัฒนาพีซีให้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จึงมีผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สนับสนุนพีซีให้ช่วยงานระดับบุคคล ดังนั้นการประยุกต์ใช้งานระดับบุคคลจึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์พื้นฐนที่เรียกว่าโปรแกรมสำเร็จรูปให้ใช้งานได้มาก เช่น ใช้ช่วยในการพิมพ์เอกสารหรือเรียกว่า เวิร์ดโปรเซสเซอร์ ใช้คำนวณบนตารางที่เรียกว่า สเปรตซีต ใช้ในการเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลขนาดเล็ก ใช้เพื่อนำเสนอผลงาน
    เครื่องพีซีทำให้เกิดระบบการจัดการข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
    รูปที่ 2 เครื่องพีซีทำให้เกิดระบบการจัดการข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
  • ระบบแลนและไคลแอนต์เซิร์ฟเวอร์ เมื่อพีซีมีขีดความสามารถสูงขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีได้พัฒนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ให้เชื่อมโยงเข้าถึงกัน และใช้งานร่วมกัน ระบบแลนที่ใช้จึงเริ่มจากการสนับสนุนงานระดับกลุ่ม ระดับแผนกที่มีการทำงานร่วมกัน ใช้ทรัพยากรบางอย่างร่วมกัน เช่น ใช้ไฟล์ใช้ข้อมูล ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ ตลอดจนเครื่องพิมพ์ร่วมกัน สภาพการทำงานบนเลนส่วนหนึ่งมีลักษณะการทำงานแบบ ไคลแอนต์เซิร์ฟเวอร์ กล่าวคือมีสถานีบริการกลางที่ให้บริการร่วมกันทั้งกลุ่ม โดยผู้ใช้จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีของตนเองเชื่อมโยงกับเครือข่ายแลน เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เรียกว่า ไคลแอนด์ ส่วนสถานีบริการกลางเรียกว่า เซิร์ฟเวอร์ เช่น ถ้ามีระบบฐานข้อมูลกลางที่ให้บริการกลางร่วมกันก็เรียกว่า ดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้สามารถใช้เครื่องไคลแอนต์เรียกค้นข้อมูลข่าวสารจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได ้รูปแบบการทำงานแบบนี้จึงเป็นการลดขนาดของเซิร์ฟเวอร์ลงจากโฮสเบส เพราะสถานีย่อยคือไคลแอนต์สามารถช่วยดำเนินการบางอย่างเองได้ และการทำงานในระดับไคลแอนต์ที่สำคัญคือ มีส่วนช่วยในการติดต่อกับผู้ใช้ที่จะแสดงผลแบบกราฟฟิก
    เครือข่ายแลนสนับสนุนการทำงานเป็นกลุ่ม
    รูปที่ 3 เครือข่ายแลนสนับสนุนการทำงานเป็นกลุ่ม
  • การเชื่อมต่อแลนเป็นอินทราเน็ต เมื่อนำเวอร์กกรุ๊ปหรือเครือข่ายแลนย่อย ๆ หลายเครือข่ายต่อเชื่อมกันเป็นเครือข่ายขององค์กร มีเส้นทางการเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารหลักที่เรียกว่าแบคโบน (backbone) เครือข่ายนี้จึงเป็นเครือข่ายที่สนับสนุนการทำงานขององค์กร ซึ่งอาจเรียกว่าเอ็นเตอร์ไพรสเน็ตเวอร์กหรืออินทราเน็ต ในระดับองค์กรจึงมีการบริหารจัดการเครือข่ายขององค์กร มีหน่วยงานดูแลเครือข่ายกลาง และดูแลทรัพยากรที่สนับสนุนการใช้งานในองค์กร ลักษณะการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานอาจข้ามออกไปยังหน่วยงานที่อยู่ห่างไกล โดยเชื่อมต่อด้วยเครือข่ายสาธารณะแบบแวน (wan) สภาพการทำงานภายในองค์กรยังมีลักษณะการใช้ทรัพยากรร่วมกันมีสถานีบริการที่เรียกว่าเซิร์ฟเวอร์ ผู้ใช้ใช้พีซีที่ต่ออยู่บนเครือข่ายเชื่อมโยงเรียกใช้บริการเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ภายในองค์กรอาจมีฐานข้อมูลเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์กลางหรืออาจจะมีหลายเซิร์ฟเวอร์กระจายกันอยู่ก็ได้ ลักษณะการใช้งานบนเครือข่ายจึงสนับสนุนการทำงานตั้งแต่งานในระดับบุคคลที่ใช้พีซีของตนเองเป็นหลัก เชื่อมต่อใช้งานร่วมกันเป็นเครือข่ายในแผนก ในกลุ่มงานของตน ใช้สถานทีบริการเซิร์ฟเวอร์ในแผนกของตน และยังเชื่อมโยงกับองค์กรใช้งานในลักษณะร่วมกับส่วนกลางขององค์กร ดังนั้นทุกคนในองค์กรที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายจึงสามารถเลือกใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ข้อมูลข่าวสารทั้งของกลุ่มและขององค์กรได้
    เครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรต้องเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ของแต่ละแผนกเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการใช้ข้อมูลร่วมกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทรัพยากรฮาร์ดแวร์ร่วมกันได้อีกด้วย ในเชิงเทคนิคนั้นระบบสารสนเทศระดับองค์กรจะมีระบบคอมพิวเตอร์ที่ดูแลแฟ้มข้อมูลที่ใช้งานร่วมกันไว้ในไฟล์เซิร์ฟเวอร์ มีการใช้เครือข่ายแลนเชื่อมโยงเครื่องมือพื้นฐาน อีกประการหนึ่งของระบบข้อมูลข่าวสาร คือระบบจัดการฐานข้อมูล ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สำคัญในการช่วยดูแลระบบข้อมูลและการประยุกต์ใช้งานด้านต่าง ๆ
    การใช้เครือข่ายเพื่อสนับสนุนการทำงานในองค์กร

    รูปที่ 4 การใช้เครือข่ายเพื่อสนับสนุนการทำงานในองค์กร





  • การเชื่อมโยงระหว่างองค์กร การบริหารและการจัดการระบบสารสนเทศสมัยใหม่ ยังเน้นให้เกิดการทำงานแบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (eBusiness) และมีการค้าขายแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่าางองค์กรเพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน
    การเชื่อมโยงระหว่างกันในปัจจุบัน เน้นการใช้เส้นทางร่วมแบบสาธารณะ เช่น ใช้อินเทอร์เน็ต ลักษณะการเชื่อมโยงออกสู่ภายนอก จึงมีลักษณะที่ต้องการสร้างวงจรเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่างองค์กร หรือการวิ่งผ่านเส้นทางสาธารณะร่วมกัน
    การเชื่อมโยงระหว่างองค์กร
    รูปที่ 5 การเชื่อมโยงระหว่างองค์กร
    อินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครือข่ายสากลที่เชื่อมโยงเครือข่ายย่อยขององค์กรจำนวนมหาศาลเข้าด้วยกัน ทำให้ทุกองค์กรที่เชื่อมโยงเข้าถึงอินเทอร์เน็ตติดต่อถึงกันได้ และหากถ้ามีองค์กรใดสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงต่อออกไปภายนอก โดยเน้นการทำงานในขอบเขตจำกัด เช่น ให้บริการลูกค้าติดต่อเข้ามาได้ และไม่สามารถออกไปนอกเครือข่ายอย่างอิสระเหมือนอินเทอร์เน็ต เราก็เรียกว่า เอ็กซ์ทราเน็ต
ศูนย์สารสนเทศกับองค์กร
ในองค์กรมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหลายระดับ ดังนั้นการจัดประเภทของศูนย์สารสนเทศ จึงต้องเน้นให้สนับสนุนการทำงานทุกระดับ ศูนย์สารสนเทศจึงมีลักษณะที่แบ่งตามประเภทการใช้งานดังนี้

เส้นใยแก้วนำแสง

เส้นใยแก้วนำแสง


ข้อมูลสำหรับการศึกษาและทำความเข้าใจกับเส้นใยแก้วนำแสง เพื่อว่าจะได้เห็นข้อดีข้อเสีย รวมถึงแนวทางการนำมาประยุกต์ ในอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย สำนักงาน อาคารอุตสาหกรรมต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้สายสัญญาณเพื่อเชื่อมโยงระบบสื่อสาร แต่เดิมสายสัญญาณที่นำมาใช้ได้แก่ สายตัวนำ ทองแดง
ปัจจุบันสายสัญญาณระบบสื่อสารมีความจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และมีแนวโน้มที่จะรวมระบบสื่อสารอย่างอื่นประกอบเข้ามาในระบบ ด้วย เช่น ระบบเคเบิลทีวี ระบบโทรศัพท์ ระบบการบริการข้อมูลข่าวสารเฉพาะของบริษัท ผู้ให้บริการต่าง ๆ ความจำเป็นในลักษณะนี้จึงมีผู้ตั้งคำถามว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะ ให้อาคารที่สร้างใหม่มีระบบเครือข่ายสายสัญญาณด้วยเส้นใยแก้วนำแสง
หากพิจารณาให้ดีพบว่า เวลานั้นได้มาถึงแล้ว ปัจจุบันราคาของเส้นใยแก้วนำแสงที่เดินในอาคารมีราคาใกล้เคียงกับสายยูทีพีแบบเกรดที่ดี เช่น แคต 5 ขณะเดียวกันสายเส้นใยแก้ว นำแสงให้ประสิทธิภาพสูงกว่ามาก และรองรับการใช้งานในอนาคตได้มากกว่า
สายยูทีพีแบบแคต 5 รองรับความเร็วสัญญาณได้ 100 เมกะบิตต่อวินาที และมีข้อจำกัดในเรื่องความยาวเพียง 100 เมตร ขณะที่เส้นใยแก้วนำแสงรองรับความถี่สัญญาณได้ หลายร้อยเมกะเฮิรตซ์ และยังใช้ได้กับความยาวถึง 2,000 เมตร การพัฒนาในเรื่องต่าง ๆ ของเส้นใยแก้วนำแสงได้ก้าวมาถึงจุดที่จะนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางแล้ว
บทความนี้จึงขอนำเสนอเพื่อแสดงให้เห็นว่า เส้นใยแก้วนำแสงมีจุดเด่นอย่างไร มีแนวโน้มการใช้งานด้านใดบ้าง และที่สำคัญคือจะเป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาและทำความเข้าใจ กับเส้นใยแก้วนำแสง เพื่อว่าจะได้เห็นข้อดีข้อเสีย รวมถึงแนวทางการนำมาประยุกต์ให้คุ้มค่า โดยเฉพาะการมองแนวทางของเทคโนโลยีในระยะไกลจุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสง
จุดเด่นของเส้นใยแก้วนำแสงมีหลายประการ โดยเฉพาะจุดที่ได้เปรียบสายตัวนำทองแดง ที่จะนำมาใช้แทนตัวนำทองแดง จุดเด่นเหล่านี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และดีขึ้น เรื่อย ๆ ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในการรับส่งข้อมูลข่าวสาร
เส้นใยแก้วนำแสงที่เป็นแท่งแก้วขนาดเล็ก มีการโค้งงอได้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใช้กันมากคือ 62.5/125 ไมโครเมตร เส้นใยแก้วนำแสงขนาดนี้เป็นสายที่นำมาใช้ภายใน อาคารทั่วไป เมื่อใช้กับคลื่นแสงความยาวคลื่น 850 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้มากกว่า 160 เมกะเฮิรตซ์ ที่ความยาว 1 กิโลเมตร และถ้าใช้ความยาวคลื่น 1,300 นาโนเมตร จะส่งสัญญาณได้กว่า 500 นาโนเมตร ที่ความยาว 1 กิโลเมตร และถ้าลดความยาวลงเหลือ 100 เมตร จะใช้กับความถี่ของสัญญาณมากกว่า 1 กิกะเฮิรตซ์ได้ ดังนั้นจึงดีกว่า สายยูทีพีแบบแคต 5 ที่ใช้กับสัญญาณได้ 100 เมกะเฮิรตซ์กำลังสูญเสียต่ำ
เส้นใยแก้วนำแสงมีคุณสมบัติในเชิงการให้แสงวิ่งผ่านได้ การบั่นทอนแสงมีค่าค่อนข้างต่ำ ตามมาตรฐานของเส้นใยแก้วนำแสง การใช้เส้นสัญญาณนำแสงนี้ใช้ได้ยาวถึง 2,000 เมตร หากระยะทางเกินกว่า 2,000 เมตร ต้องใช้รีพีตเตอร์ทุก ๆ 2,000 เมตร การสูญเสียในเรื่องสัญญาณจึงต่ำกว่าสายตัวนำทองแดงมาก ที่สายตัวนำทองแดงมีข้อ กำหนดระยะทางเพียง 100 เมตร
หากพิจารณาในแง่ความถี่ที่ใช้ ผลตอบสนองทางความถี่มีผลต่อกำลังสูญเสียโดยเฉพาะในลวดตัวนำทองแดง เมื่อใช้เป็นสายสัญญาณ คุณสมบัติของสายตัวนำทองแดงจะ เปลี่ยนแปลงเมื่อใช้ความถี่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ความถี่ของสัญญาณที่ส่งในตัวนำทองแดงสูงขึ้น อัตราการสูญเสียก็จะมากตามแต่กรณีของเส้นใยแก้วนำแสงเราใช้สัญญาณ รับส่งข้อมูล จึงไม่มีผลกับกำลังสูญเสียทางแสงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถรบกวนได้
ปัญหาที่สำคัญของสายสัญญาณแบบทองแดงคือการเหนี่ยสนำ โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ปัญหานี้มีมาก ตั้งแต่เรื่องการรบกวนระหว่างตัวนำหรือเรียกว่าครอสทอร์ค การไม่ แมตช์พอดีทางอิมพีแดนซ์ ทำให้มีคลื่นสะท้อนกลับ การรบกวนจากปัจจัยภายนอกที่เรียกว่า EMI ปัญหาเหล่านี้สร้างให้ผู้ใช้ต้องหมั่นดูแล
แต่สำหรับเส้นใยแก้วนำแสงแล้วปัญหาเรื่องเหล่านี้จะไม่มี เพราะแสงเป็นพลังงานที่มีพลังงานเฉพาะและไม่ถูกรบกวนโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การเดินทางในเส้นแก้วก็ปราศจาก การรบกวนของแสงจากภายนอกน้ำหนักเบา
เส้นใยแก้วนำแสงมีน้ำหนักเบากว่าเส้นลวดตัวนำทองแดง น้ำหนักของเส้นใยแก้วนำแสงขนาด 2 แกนที่ใช้ทั่วไปมีน้ำหนักเพียงประมาณ 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของสายยูทีพี แบบแคต 5ขนาดเล็ก
เส้นใยแก้วนำแสงมีขนาดทางภาคตัดขวางแล้วเล็กกว่าลวดทองแดงมาก ขนาดของเส้นใยแก้วนำแสงเมื่อรวมวัสดุหุ้มแล้วมีขนาดเล็กกว่าสายยูทีพี โดยขนาดของสายใยแก้วนี้ใช้ พื้นที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของเส้นลวดยูทีพีแบบแคต 5มีความปลอดภัยในเรื่องข้อมูลสูงกว่า
การใช้เส้นใยแก้วนำแสงมีลักษณะใช้แสงเดินทางในข่าย จึงยากที่จะทำการแท๊ปหรือทำการดักฟังข้อมูลมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน
การที่เส้นใยแก้วนำแสงเป็นฉนวนทั้งหมด จึงไม่นำกระแสไฟฟ้า การลัดวงจร การเกิดอันตรายจากกระแสไฟฟ้าจึงไม่เกิดขึ้นความเข้าใจผิดบางประการ
แต่เดิมเส้นใยแก้วนำแสงมีใช้เฉพาะในโครงการใหญ่ หรือใช้เป็นเครือข่ายแบบแบ็กโบน เทคโนโลยีเกี่ยวกับเส้นใยแก้วนำแสงก็ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก ทำให้เกิดความเข้าใจผิด บางประการเกี่ยวกับคุณสมบัติและการประยุกต์ใช้งานแตกหักได้ง่าย
ด้วยความคิดที่ว่า "แก้วแตกหักได้ง่าย" ความคิดนี้จึงเกิดขึ้นกับเส้นใยแก้วด้วย เพราะวัสดุที่ทำเป็นแก้ว ความเป็นจริงแล้วเส้นใยแก้วมีความแข็งแรงและทนทานสูงมาก การออกแบบใยแก้วมีเส้นใยห้อมล้อมไว้ ทำให้ทนแรงกระแทก นอกจากนี้แรงดึงในเส้นใยแก้วยังมีความทนทานสูงกว่าสายยูทีพี หากเปรียบเทียบเส้นใยแก้วกับสายยูทีพีแล้วจะ พบว่า ข้อกำหนดของสายยูทีพีแล้วจะพบว่า ข้อกำหนดของสายยูทีพีมีคุณสมบัติหลายอย่างต่ำกว่าเส้นใยแก้ว เช่น การดึงสาย การหักเลี้ยว เพราะลักษณะคุณสมบัติทางไฟฟ้า ที่ความถี่สูงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า

ชื่อบนอินเทอร์เน็ต

ชื่อบนอินเทอร์เน็ต ความสำคัญของการทำธุรกิจสมัยใหม่

การที่องค์กรจะดำเนินธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์จึงต้องเน้นงานทางธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (transaction) และหาก ต้องการนำมาใช้ ในการซื้อขายสินค้าก็เรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Commerce ส่งผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจของโลกกำลัง เปลี่ยน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ หรือที่เรียกว่า e-Conomy
เมื่อเป็นเช่นนี้องค์กรต้องมีที่อยู่หรือ address เครือข่ายของตนเองสำหรับในประเทศไทยสามารถจดทะเบียนกับหน่วยงานที่ชื่อ thnic เพื่อได้ชื่อองค์กร แต่หลายองค์กรจดทะเบียนที่ต่างประเทศเพื่อได้ .com ซึ่งก็มีข้อเสียในเรื่องที่ว่า หากข้อมูลของตนอยู่ต่างประเทศ และทำธุรกิจในเมืองไทยอาจไม่สะดวก อย่างไรก็ตามการจดทะเบียน .com ก็สามารถตั้งเซิร์ฟเวอร์ในประเทศไทยได้
การจดทะเบียนชื่อได้ต้องมีหมายเลขไอพีแอดเดรสเป็นของตนเอง การขอไอพีแอดเดรสในปัจจุบันอาจต้องขอจากหน่วยงานไอเอสพี ที่เราจะต่อเชื่อมด้วย หรือขอจากหน่วยงานกลาง เช่น thnic เพื่อลงทะเบียนหมายเลขไอพีแอดเดรส ไอพีแอดเดรสและชื่อจึงมีความ สำคัญเพราะเปรียบเสมือนเป็นชื่อขององค์กรในยุคใหม่ ชื่อเหล่านี้จึงมีความสำคัญและหากมีใครจดทะเบียนไปก่อนแล้ว ผู้จดทะเบียน ภายหลังจะไม่สามารถจะทะเบียนชื่อซ้ำได้
จากการสำรวจของ nw.com พบว่า ปัจจุบันมีเครื่องที่ต่ออยู่บนอินเทอร์เน็ตประมาณ 70 ล้านเครื่อง และเพียง .com อย่างเดียวมีผู้จด ทะเบียนชื่อไว้แล้วถึง 20 ล้านชื่อ การตั้งชื่อจึงเริ่มยากขึ้นเพราะจะมีโอกาสซ้ำกันมากขึ้น
อย่างไรก็ดีมีแนวคิดที่จะปรับปรุงระบบการกำหนดชื่อตามมาตรฐานใหม่ให้รับชื่อได้แบบหลากหลายภาษา โดยเฉพาะหน่วยงานที่บริหาร และดูแลอินเทอร์เน็ตในขณะนี้คือ ican มีการปรับปรุงระบบการกำหนดชื่อให้ใช้รหัสแบบยูนิโค้ดเพื่อรองรับการใช้แบบมัลติลิงกัวเพื่อ ใช้ได้หลากภาษา
การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และการค้าในไซเบอร์สเปซจึงเป็นเรื่องง่าย เพราะมีเพียงชื่อและเครื่องเซิร์ฟเวอร์ก็สามารถเป็นแหล่งให้ ติดต่อค้าขายได้แล้วมารู้จักกับไอพีแอดเดรส
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับไอพีแอดเดรส อย่างน้อยพีซีที่ต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตต้องมีการกำหนดไอพีแอดเดรส
คำว่า ไอพีแอดเดรส จึงหมายถึงเลขหรือรหัสที่บ่งบอก ตำแหน่งของเครื่องที่ต่ออยู่บนอินเทอร์เน็ต เช่นเครื่อง www.nectec.or.th เป็นเซิร์ฟเวอร์ของเนคเทคมีหลายเลขไอพี 202-44.204.33 ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็นรหัส ประจำตัวของเครื่องที่ใช้ ตั้งแต่พีซีของผู้ใช้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ทั่วโลก ทุกเครื่องต้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต้องไม่ซ้ำกันเลย ทั่วโลก
การกำหนดไอพีแอดเดรสเน้นให้องค์กรจดทะเบียนเพื่อขอไอพีแอดเดรส และมีการแบ่งไอพีแอดเดรสออกเป็นกลุ่มสำหรับองค์กร เรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็น คลาส A คลาส B คลาส C
เมื่อพิจารณาตัวเลขไอพีแอดเดรส หากไอพีแอดเดรสใดมีตัวเลขขึ้นต้น 1-126 ก็จะเป็นคลาส A ดังนั้น คลาส A จึงมีได้เพียง 126 องค์กรเท่านั้น หากขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B เช่น ไอพีแอดเดรสของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้นต้นด้วย 158 จึงอยู่ ในคลาส B และหากขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส C
ไอพีแอดเดรสและชื่อจึงมีความสำคัญเพราะเปรียบเสมือนเป็นชื่อขององค์กรในยุคใหม่ หากมีใครจดทะเบียนไปก่อนแล้ว ผู้จดทะเบียน ภายหลังจะไม่สามารถจดทะเบียนชื่อซ้ำได้
ลักษณะการใช้ไอพีแอดเดรสในองค์กรจึงมีวิธีการจัดสรรและกำหนดเพื่อให้ใช้งานแต่เนื่องจากหลายหน่วยงานติดขัดด้วยจำนวน หมายเลขที่ได้รับ เช่น องค์กรขนาดใหญ่ แต่ได้รับคลาส C จึงย่อมสร้างความยุ่งยากในการสร้างเครือข่าย
ไอพีแอดเดรสแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรร จะได้รับการควบคุมการกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวกเราเตอร์และสวิตชิ่ง
ทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับแอดเดรสไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำไอพีแอดเดรสที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์ หรือสวิตชิ่งได้ การกำหนดแอดเดรสจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้น มิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้
ไอพีแอดเดรสจึงเป็นรหัสหลักที่จำเป็นในการสร้างเครือข่าย เครือข่ายทุกเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดแอดเดรส สำนักบริการคอมพิวเตอร์ได้จัดสรรกลุ่มไอพีไว้ให้หน่วยงานต่าง ๆ อย่างพอเพียงโดยที่แอดเดรสที่ใช้ในกลุ่ม เช่น การเซตให้กับพีซี แต่ละครั้งต้องไม่ซ้ำกันการตั้งชื่อ
ชื่อทางอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการอ้างอิงตำแหน่งถึงกัน เช่น ใช้เป็นอีเมลแอดเดรส ใช้เป็นชื่อเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือใช้ เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต เช่น www.ku.ac.th, nontri.ku.ac.th, pirun.k เป็นต้น
ในการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งแรกที่ต้องมีคือชื่อร้านค้า ชื่อธุรกิจ หรือสิ่งที่อ้างอิงได้ในไซเปอร์สเปซ ชื่อเหล่านี้จึงมีบทบาทและมีความสำคัญและเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้เป็นที่รู้จักกันและอ้างอิงได้
ชื่อจึงประกอบด้วยหลักการที่เป็นระบบ จัดกลุ่มให้เข้าใจหรือเรียกง่าย เราเรียกว่า โดเมน เช่น ในประเทศไทยเป็นโดเมน .th และถ้าเป็นกลุ่มธุรกิจก็เรียกว่า .co.th กลุ่มการศึกษาก็เรียกชื่อเป็น .ac.th ดังนั้นการตั้งชื่อจึงให้อยู่ในกลุ่ม เช่น ku.ac.th อยู่ใน กลุ่มการศึกษา (ku เป็นชื่อของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
เพื่อให้ชื่อเป็นที่อ้างอิงได้ ชื่อจึงไม่ซ้ำกัน โดเมนของระบบจึงต้องได้รับการจดทะเบียน แต่เดิม internic เป็นหน่วยงานกลางที่ดูแลชื่อ และรับจดทะเบียน แต่ต่อมามีภาระกิจมากจึงกระจายออกไปให้เอเชียแปซิฟิกดูแลส่วนพื้นที่เอเชียแปซิฟิก ก็ใช้หน่วยงาน apnic และ ในที่สุดก็กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยผู้ดูแลการจดทะเบียนชื่อโดเมนภายใต้ .th ทั้งหมด คือ thnic สามารถดู รายละเอียดได้จาก www.thnic.net
เมื่อมีโดเมนของตนเองแล้ว ภายใต้โดเมนนั้น ๆ ผู้เป็นเจ้าของโดเมนสามารถบริหารจัดการและจดทะเบียนชื่อของตนเองได้ เช่น ภายใต้ ku.ac.th ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้ดูแลและบริหาร ตลอดจนรับจดทะเบียนชื่อภายใต้โดเมนนี้ การจัดการชื่อบนอินเทอร์เน็ตจึงเป็นระบบและสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพได้
ชื่อจะได้รับการจดทะเบียน และดูแลภายใต้เครื่องที่ทำหน้าที่จัดการที่เรียกว่า เนมเซิร์ฟเวอร์ ระบบเนมเซิร์ฟเวอร์จึงเป็น ระบบที่สำคัญ และจะช่วยให้หน่วยงานดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพได้เนมเซิร์ฟเวอร์
เนมเซิร์ฟเวอร์เป็นเครื่องหลักที่ทำหน้าที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ ผู้ใช้จะต้องติดตั้งเครื่องของตนเองและบอกให้รู้ว่าใช้เนมเซิร์ฟเวอร์ที่ใด ทุกครั้งที่ใช้งาน เช่น การใช้บราวเซอร์ เรียกดูเว็บเพจต่าง ๆ เราอ้างอิงด้วยชื่อ เช่น www.cnn.com www.ku.ac.th การอ้างอิง ทุกครั้งจะต้องมีการมาสอบถามที่เนมเซิร์ฟเวอร์ เนมเซิร์ฟเวอร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนชื่อที่ผู้ใช้เรียกให้เป็นหมายเลขไอพีจากนั้นจึงใช้ หมายเลขไอพีติดต่ออีกครั้ง
ดังนั้น ถ้าหากการสอบถามได้รับการตอบไว การทำงานส่วนนี้ก็จะเร็วขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้การบริหารเนมเซิร์ฟเวอร์จึงต้องทำอย่างมี ประสิทธิภาพ เนมเซิร์ฟเวอร์จะทำหน้าที่ในการให้บริการโดยหากถามด้วยชื่อ ก็จะตอบหมายเลขไอพีและหากถามหมายเลขไอพีก็จะ ตอบด้วยชื่อ ระบบเนมเซิร์ฟเวอร์จะทำการติดต่อกับเนมเซิร์ฟเวอร์ด้วยกันเอง และมีการจัดวางระบบเพื่อสอบถามข้อมูลระหว่างกัน ซอฟต์แวร์ที่อยู่ในเนมเซิร์ฟเวอร์และเชื่อมโยงกับดาต้าเบสอื่นเป็นชิ้น ๆ เรียกว่า ดีเอนเอส (DNS)
การจดทะเบียนชื่อโดเมนก็ดี การจดทะเบียนชื่อก็ดี จะต้องทำอย่างถูกหลักการ การจดทะเบียนโดเมนได้ผู้จดทะเบียนจะต้องเป็น เจ้าของหมายเลขไอพีและมีสิทธิเท่านั้น ทำนองเดียวกันการจดทะเบียนชื่อจะต้องใช้ไอพี เช่น ไอพีหมายเลข 158. 108.2.71 จด ทะเบียนใน ns.ku.ac.th ให้เป็นชื่อ nontri.ku.ac.th
ระบบบริหารและจัดการชื่อในฐานข้อมูล DNS จะเป็นไปแบบกระจายและกระทำแบบอัตโนมัติ ดังนั้นทั่วโลกจึงมีการวาง DNS แบบ ลำดับให้กระจายเข้าไปยังหน่วยงานต่าง ๆ การสอบถาม DNS ไปยังเซิร์ฟเวอร์หากเซิร์ฟเวอร์นั้น หาไม่พบจะสอบถามต่อไปยังระดับ บนให้จนในที่สุดก็จะได้คำตอบ หรือหากไม่ได้คำตอบก็จะแจ้งกลับมา กลไกการจัดการอินเทอร์เน็ตจึงเป็นไปอย่างอัตโนมัตและเป็น ระบบที่น่าสนใจยิ่ง

จัดทำโฮมเพจโดย : สำนักบริการคอมพิวเตอร์ , 10 มกราคม 2544
ที่มาhttps://www.blogger.com/blogger.g?blogID=7816969402812290484#editor/target=post;postID=4441857579976613124

อินเทอร์เน็ตกับประเทศไทย




ผู้ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมคงต้องมองเห็นได้ชัดเจนว่า อินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งในชีวิตประจำวัน อินเทอร์เน็ตเป็นเสมือนฐานรองรับกิจการต่าง ๆ เป็นทาง (ด่วน) ของข้อมูลข่าวสารที่มีบทบาทและความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ เป็นหนทางของการแข่งขันกับต่างประเทศ เราสามารถสร้างคุณค่าบนเครือข่ายนี้ได้อย่างมากมายมหาศาล
หน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องอินเทอร์เน็ตของประเทศชาติที่จะหลีกความรับผิดชอบไปไม่ได้คือ กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีหน่วยงานปฏิบัติที่สำคัญอยู่ในกระทรวง จากอดีตที่ผ่านมาเราก็เห็นได้ชัดว่า อินเทอร์เน็ตของประเทศไทยก้าวไปในลักษณะอย่างไร ขาดผู้ชี้นำหรือผู้นำทางที่ดำเนินการอย่างไรเป็นรูปธรรมการวางโครงข่ายทั่วประเทศ และโลคัลสวิตชิง
NECTEC ได้เริ่มทำโลคัลสวิตชิงที่ชื่อว่า PIE ต่อมาการสื่อสารก็ได้ดำเนินการสร้างโลคัลสวิตชิง ซึ่งก็นับว่าดีที่มีสวิตชิงแล้วขณะนี้สองแห่ง แต่ทั้งสองแห่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นหากผู้ใช้จากต่างจังหวัดจะต้องการเชื่อมโยงกันก็ต้องมาสวิตชิงที่ใดที่หนึ่งในสองที่นี้
หากพิจารณาในเรื่องโครงข่ายโทรคมนาคมที่องค์การโทรศัพท์มีศูนย์อยู่ 20 แห่ง ทำไมไม่ให้องค์การโทรศัพท์เป็นผู้เชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตของประเทศ ทุก ISP สามารถให้บริการได้ทุกจังหวัด ผู้ใช้ที่จังหวัดใดก็จะมีบริการได้โดยโทรศัพท์ครังละ 3 บาท ขณะเดียวกันทั้ง 20 แห่งนี้ เป็นโลคัลสวิตชิงที่เป็นหลักสำหรับการดำเนินการนั้นหมายความว่า ถ้า ISP สอง ISP ให้บริการในเชียงใหม่ คงไม่ต้องมาสวิตช์ข้อมูลกันที่การสื่อสารหรือ PIE ที่กรุงเทพฯ การดำเนินการในลักษณะนี้จะทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของประเทศสูงขึ้น ลดปัญหาความคับคั่งของระบบอินเทอร์เน็ตที่เป็นอยู่ในขณะนี้ลงไปได้ และที่สำคัญคือ การให้โอกาสที่เท่าเทียมกันระหว่างคนต่างจังหวัดกับคนในกรุงเทพฯการวางพร็อกซี แคชรวม และระบบมิลเลอร์ของต่างประเทศ
ระบบแคชที่ดีของประเทศน่าจะเป็นทางออกของการลงทุนร่วมกัน และสร้างระบบแคชที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแลทางออกของประเทศ สามารถดำเนินการในเรื่องนี้ได้ นอกจากระบบแคชแล้วยังสามารถทำระบบมิลเลอร์ของบางไซท์ไว้ในประเทศ ระบบถังข้อมูล FTP ขนาดใหญ่ที่สามารถให้บริการข้อมูลต่าง ๆ ได้
การบริหารจัดการระบบบัฟเฟอร์ข้อมูลนี้จะช่วยทำให้ทราบสถานะการใช้งานบางอย่างหรือปริมาณความต้องการต่าง ๆ ของผู้ใช้ในประเทศได้ ทำให้สร้างระบบวางแผนและดำเนินการในระดับนโยบายต่อไปได้ดีระบบฟรีอีเมล์ และฟรีโฮมเพจ
เคยมีใครวิเคราะห์หรือเฝ้าติดตามดูว่า ปริมาณผู้ใช้ฟรีอีเมล์ภายนอกประเทศ และฟรีโฮมเพจภายนอกประเทศมีจำนวนสักเท่าไร ผู้ที่ใช้ฟรีอีเมล์ก็ดี ฟรีโฮมเพจก็ดี ใช้เพราะภายในประเทศไม่มีระบบบริการที่ดี ลองนึกดูว่าผู้ใช้บริการเหล่านี้ต้องการส่งอีเมล์ถึงบุคคลในประเทศ จะต้องเสียช่องทางการสื่อสารระหว่างประเทศไปเท่าไร เริ่มจากคนส่งต้องนำข้อมูลไปไว้คนรับก็ต้องไปอ่าน ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเราเสียช่องสื่อสารไปหลายเท่าตัว ช่องทางสื่อสารที่ไปต่างประเทศมักมีราคาแพง (8 เมกะบิต ประมาณ 60 ล้านบาทต่อปี) หากเรามีบริการในประเทศ เราจะประหยัดได้มาก
การบริการฟรีเหล่านี้ได้ผลคุ้มค่ายิ่ง โดยเฉพาะการดึงคนไทยให้ใช้งานในประเทศไทย ลดค่าใช้จ่ายที่จ่ายทางอ้อมให้ต่างประเทศ ขณะเดียวกันระบบดังกล่าวน่าจะทำประโยชน์ได้เช่นเดียวกันกับต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการได้รายชื่อผู้ใช้ในเรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือเรื่องของการดึงมาเป็นสมาชิก รวมถึงการให้ข่าวสารกับสมาชิกการให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรี แต่...
...ต้องเป็นบริการภายในประเทศไทย หากนโยบายการส่งเสริมอินเทอร์เน็ตมีความชัดเจน น่าจะต้องให้คนไทยทั่วประเทศไทย ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ฟรี หากหน่วยงานบริการโทรศัพท์ให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรี โดยคิดเฉพาะค่าโทรศัพท์ โดยเน้นให้ใช้เฉพาะในประเทศ การใช้อินเทอร์เน็ตในลักษณะนี้ไม่ต้องเสียวงจรไปต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายโดยรวมจึงถูกลง
การบริการอินเทอร์เน็ตฟรีจากผู้ใช้บริการโทรศัพท์ อาจหารายได้มาชดเชยได้หลายอย่าง เช่น จากรายได้ในเรื่องของการเช่าที่โฮมเพจของห้างร้าน รายได้จากค่าโฆษณา เพราะเมื่อมีผู้ใช้บริการฟรีจำนวนมาก รายได้เสริมในลักษณะนี้ก็จะเกิดขึ้น
การให้บริการฟรีภายในประเทศเป็นนโยบายที่น่าจะทำได้ เพราะเท่ากับสร้างความแข็งแกร่งในเรื่องผู้ใช้ เพราะผู้ใช้จะขยายวงกว้างขึ้น ธุรกิจภายในประเทศจะก้าวหน้าขึ้น อีกทั้งการไม่ใช้วงจรต่างประเทศเท่ากับเป็นการลดกระแสของอารยธรรมต่างประเทศไปได้ทางหนึ่งการให้บริการข่าวสารสาธารณะ
เพื่อสนับสนุนการให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรี รัฐต้องจัดให้หน่วยงานของรัฐเร่งรณรงค์สร้างข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับประชาชน และให้บริการสาธารณะ ข้อมูลข่าวสารที่เรียกดูได้บนอินเทอร์เน็ตจึงเป็นเป้าหมายที่น่ากระทำยิ่ง
การเรียนรู้ในสมัยปัจจุบันต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก ถ้ารัฐให้หน่วยงานต่าง ๆ สร้าง เช่น ระบบสาธารณสุข การดูแลรักษาสุขภาพ การป้องกันโรค ข่าวสารเหล่านี้มีวิธีการเข้าถึงได้ง่าย ย่อมตกอยู่กับพี่น้องชาวไทยที่จะบริโภคข่าวสาร
การรณรงค์ในเรื่องการสร้างข้อมูลสาธารณะจึงทำให้ขยายการใช้งานได้กว้าง และไม่ต้องพึ่งพิงข้อมูลจากต่างประเทศอย่างเดียว ข้อมูลที่จัดทำเพื่อคนไทยย่อมมีประโยชน์โดยตรงกับคนไทยอย่างมากนโยบายการดูแลและรักษาความปลอดภัย
ระบบอินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเป็นถนนหลวงเป็นของสาธารณะ ดังนั้นเพื่อสังคมที่ดีงาม เพื่อการอยู่ร่วมกันและใช้ประโยชน์ร่วมกันในสังคมที่ดี จึงต้องมีการสร้างกฎระเบียบ รัฐจะต้องเข้ามาดูแลเอื้ออำนวยให้เกิดระเบียบ มีการจัดระบบให้ชัดเจน มีกฎหมายและข้อบังคับ
ระบบการรักษาความปลอดภัยที่มีตำรวจคอยเอื้อประโยชน์ ในระบบอินเทอร์เน็ตก็ต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบและคอยดูแลในเรื่องการรักษาความปลอดภัย คอยตรวจสอบผู้ทำผิด และมีมาตรการการลงโทษ
ระบบการรักษาความปลอดภัยอาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชน รัฐจักต้องให้การสนับสนุนและร่วมมือเพื่อให้การดำเนินธุรกิจบนเครือข่ายมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นงานวางแผน งานวิจัยและพัฒนาเชิงรุก
ระบบการวิจัยอาจเริ่มจากการพัฒนาเพื่อใช้ในประเทศไทย เช่น การใช้ภาษาไทย ระบบสืบค้นข้อมูล ระบบมาตรฐานข้อมูลต่าง ๆ การปรับปรุงประสิทธิภาพเครือข่าย ระบบบัฟเฟอร์ข้อมูล ระบบมัลติมีเดียที่กำลังก้าวหน้า งานค้นคว้าวิจัยเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดการพัฒนาและการปรับใช้ในประเทศไทยเอง
งานทางด้านการวางแผนของประเทศชาติก็มีความจำเป็น รัฐบาลเน้นให้หน่วยงานมี CIO ให้มีแผนหลักขององค์กร แต่แผนหลักของรัฐบาลเองกลับไม่มี หากมีเป้าหมายชัดเจน ผู้ดำเนินการก็สามารถช่วยกันดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายได้ฝากไว้สำหรับอนาคต
การใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยต้องการผู้ชี้นำ ต้องการผู้ดำเนินการเชิงรุก เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เรามีงานที่จะต้องดำเนินการเชิงรุกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการโดเมน หรือชื่อในประเทศไทย การใช้ภาษาไทยกับชื่อโดเมนในระดับ DNS การสร้างมาตรฐานข้อมูล การดำเนินการเรื่องดิจิตอลไลบรารี การสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น โดยเฉพาะระบบสื่อสารโทรคมนาคม การแบ่งผลประโยชน์ที่เป็นธรรมระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการ
อนาคต คือ ความหวังของพวกเราทุกคน






จัดทำโฮมเพจโดย : สำนักบริการคอมพิวเตอร์, 31 มกราคม 2544

แอนดรอยด์ (Android)

แอนดรอยด์ (Android) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ เน็ตบุ๊ค ทำงานบนลินุกซ์ เคอร์เนล เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์ (Android Inc.) จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิล และนำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ภายหลังถูกพัฒนาในนามของ Open Handset Alliance ทางกูเกิลได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ดต่างๆ ด้วยภาษาจาวา และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries ที่กูเกิลพัฒนาขึ้น
โดยแอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการ (OS) หรือแพลตฟอร์ม ที่จะใช้ควบคุมการทำงานบนอุปกรณ์อีเล็คทรอนิกส์ต่างๆ สำหรับโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์พกพา โดยมี กูเกิล อิงก์, ที-โมบาย, เอชทีซี, ควอลคอมม์, โมโตโรลา และบริษัทชั้นนำอีกมากมายร่วมพัฒนาโปรเจ็กต์ แอนดรอยด์ ผ่านกลุ่มพันธมิตรเครื่องมือสื่อสารระบบเปิด (Open Handset Alliance) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรชั้นนำระดับนานาชาติด้านเทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารเคลื่อนที่ ซึ่ง Android ประกอบด้วยระบบปฏิบัติการ ไลบรารี เฟรมเวิร์ค และซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่จำเป็นในการพัฒนา ซึ่งเทียบเท่ากับ Windows Moble, Palm OS, Symbian, OpenMoko และ Maemo ของโนเกีย โดยใช้องค์ประกอบที่เป็นโอเพนซอร์สหลายอย่าง เช่น Linux Kernel, SSL, OpenGL, FreeType, SQLite, WebKit และเขียนไลบรารีเฟรมเวิร์คของตัวเองเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดจะโอเพนซอร์ส ใช้ (Apache License)

ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายในการส่งเสริมนวัตกรรมบนเครื่องมือสื่อสารเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่าแพลตฟอร์มโมบายทั่วไปที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ การนำเสนอมิติใหม่ของแพลตฟอร์มระบบเปิดให้แก่นักพัฒนาจะทำช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้ทำงานร่วมกันได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดย แอนดรอยด์ จะช่วยเร่งและผลักดันบริการระบบสื่อสารรูปแบบใหม่ไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
กูเกิลแอนดรอยด์ เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของแอนดรอยด์ เนื่องจากปัจจุบันนี้ บริษัทกูเกิล เป็นผู้ที่ถือสิทธิบัตรในตราสัญญาลักษณ์ ชื่อ และ รหัสต้นฉบับ (Source Code) ของแอนดรอยด์ ภายใต้เงื่อนไขการพัฒนาแบบ GNL โดยเปิดให้นักพัฒนา (Developer) สามารถนำรหัสต้นฉบับ ไปพัฒนาปรับแต่งได้อย่างเปิดเผย (Open source) ทำให้แอนดรอยด์มีผู้เข้าร่วมพัฒนาเป็นจำนวนมาก และพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
ประเภทของชุดซอฟท์แวร์ เนื่องจากแอนดรอยด์นั้นเปิดให้นักพัฒนาเข้าไปชมรหัสต้นฉบับได้ ทำให้มีผู้พัฒนาจากหลายฝ่ายนำเอารหัสต้นฉบับมาปรับแต่ง และสร้างแอนดรอยด์ในแบบฉบับของตนเองขึ้น เราจึงแบ่งประเภทของแอนดรอยด์ออกได้เป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
2.1.1 Android Open Source Project (AOSP) เป็นแอนดรอยด์ประเภทแรกที่กูเกิลเปิดให้สามารถนำต้นฉบับแบบเปิดไปติดตั้งและใช้งานในอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายได ๆ
2.1.2 Open Handset Mobile (OHM) เป็นแอนดรอยด์ที่ได้รับการพัฒนาร่วมกับกลุ่มบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์พกพา ที่เข้าร่วมกับกูเกิลในนาม Open Handset Alliances (OHA) ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะพัฒนาแอนดรอยด์ในแบบฉบับของตนออกมา โดยรูปร่างหน้าตาการแสดงผล และฟังค์ชั่นการใช้งาน จะมีความเป็นเอกลักษณ์ และมีลิขสิทธิ์เป็นของตน พร้อมได้รับสิทธิ์ในการมีบริการเสริมต่าง ๆ จากกูเกิล ที่เรียกว่า Google Mobile Service (GMS) ซึ่งเป็นบริการเสริมที่ทำให้แอนดรอยด์มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามจุดประสงค์ของแอนดรอยด์ แต่การจะได้มาซึ่ง GMS นั้น ผู้ผลิตจะต้องทำการทดสอบระบบ และขออนุญาตกับทางกูเกิลก่อน จึงจะนำเครื่องออกสู่ตลาดได้
2.1.3 Cooking หรือ Customize เป็นแอนดรอยด์ที่นักพัฒนานำเอารหัสต้นฉบับจากแหล่งต่าง ๆ มาปรับแต่ง ในแบบฉบับของตนเอง โดยจะต้องทำการปลดล๊อคสิทธิ์การใช้งานอุปกรณ์ หรือ Unlock เครื่องก่อน จึงจะสามารถติดตั้งได้ โดยแอนดรอยด์ประเภทนี้ถือเป็นประเภทที่มีความสามารถมากที่สุด เท่าที่อุปกรณ์เครื่องนั้น ๆ จะรองรับได้ เนื่องจากได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับอุปกรณ์นั้น ๆ จากผู้ใช้งานจริง
สิทธิ์ในการใช้งานระบบ เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการทั่วไป ที่มีการจำกัดการใช้งาน และการเข้าถึงส่วนต่าง ๆภายในระบบ เพื่อความปลอดภัยของระบบ และ ผู้ใช้งาน อุปกรณ์ที่ติดตั้งระบบแอนดรอยด์จึงมีการจำกัดสิทธิ์ไว้ (เว้นแต่ได้ทำการปลดล๊อคสิทธิ์ หรือ root เครื่องแล้ว) สามารถแบ่งสิทธิ์ของผู้ใช้ในการเข้าถึงระบบคร่าว ๆ ได้ดังต่อไปนี้
สิทธิ์ root สิทธ์การใช้ใช้งานระดับราก ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานของระบบ จึงมีความสามารถในการเข้าถึงทุก ๆ ส่วนของระบบ
สิทธิ์ ADB (Android Develop Bridge) นักพัฒนาสามารถเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของระบบได้ผ่านสิทธิ์นี้
-  Application & System สิทธิ์ของโปรแกรมในการเข้าถึงระบบ และสิทธิ์ของระบบในการเข้าถึงอุปกรณ์ โดยสิทธิ์เหล่านี้ ตัวระบบจะเป็นตัวจัดการมอบและถอนสิทธิ์ ตามเงื่อนไขที่กำหนดซึ่งจะถูกแบ่งย่อยออกเป็นหลายหัวข้อ
-  End-user ผู้ใช้งานขั้นสุดท้าย ซึ้งก็คือ คุณ และ คุณ ทั้งหลาย ที่ใช้การเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของระบบผ่านช่องทางสิทธิ์ที่โปรแกรมได้รับอีกที โดยจะถูกจำกัดไม่ให้เข้าถึงในส่วนที่เป็นอันตรายต่อแกนระบบและอุปกรณ์
จากด้านบนจึงเป็นที่มาของคำว่า รูธเครื่องซึ่งหมายถึงการทำให้ End-user สามารถใช้งานระบบได้ในถานะ root ผ่านแอพพลิเคชั่น Superuser permission การรูธจึงเปรียบเสมือนดาบสองคม ซึ่งผู้ใช้ที่ต้องการจะรูธเครื่องตนเองนั้น ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับแอนดรอยด์ในระดับสูง และมีความชำนาญในการใช้งานตัวเครื่องเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเป็นการเปิดทางให้โปรแกรมบุคคลที่สามสร้างความเสียหายให้แก่เครื่อง และระบบได้
ข้อจำกัดของแอนดรอยด์ แอนดรอยด์ที่ดีนั้นจะต้องมี GMS ซึ่งก็จะต้องขึ้นอยู่กับกูเกิลว่าผู้ผลิตเครื่องไหน สามารถสำเอา GMS ไปใช้ได้บ้าง โดยจะต้องได้รับการยอมรับ และอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษร จากผู้ถือสิทธิบัตรซึ่งก็คือ กูเกิล เสียก่อน หลังจากนั้นจึงจะเผยแพร่ได้ หากแต่เป็นการเผยแพร่ในเชิงพัฒนา หรือแจกฟรีนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ทางกูเกิลอนุมัติก็ได้ ส่งผลให้อุปกรณ์บางรุ่นถูกจำกัดความสามารถในการใช้งาน แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้ GNL สิทธิบัตร จึงเป็นการเปิดโอกาศให้มีการพัฒนาได้อย่างอิสระ ทำให้ข้อจำกัดต่าง ๆ หมดไป เมื่อมีคนใช้ก็ย่อมมีคนแก้ ยิ่งใช้เยอะยิ่งมีคนช่วยแก้เยอะ
แอนดรอยด์ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 โดยทางกูเกิลได้ประกาศก่อตั้ง Open Handset Allianc กลุ่มบริษัทฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสาร 48 แห่ง ที่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนา มาตราฐานเปิด สำหรับอุปกรณ์มือถือ ลิขสิทธิ์ของโค้ดแอนดรอยด์นี้จะใช้ในลักษณะของซอฟต์แวร์เสรี
โทรศัพท์เครื่องแรกที่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้คือ HTC Dreamออกจำหน่ายเมื่อ 22 ตุลาคม 2551

ภาษาจาวา (Java programming language)

ภาษาจาวา (Java programming language) เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming) พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ โดยบริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษาจาวาถูกพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) โดยเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการกรีน (the Green Project) และสำเร็จออกสู่สาธารณะในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ซึ่งภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส (C++) โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แต่ว่ามีปัญหาทางลิขสิทธิ์ จึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน
และแม้ว่าจะมีชื่อคล้ายกัน แต่ภาษาจาวาไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับภาษาจาวาสคริปต์ (JavaScript) ปัจจุบันมาตรฐานของภาษาจาวาดูแลโดย Java Community Process ซึ่งเป็นกระบวนการอย่างเป็นทางการ ที่อนุญาตให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกำหนดความสามารถในจาวาแพลตฟอร์มได้
เทคโนโลยีจาวา มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญสองอย่าง ที่ทำให้โปรแกรมจาวาสามารถทำงานได้มากกว่าหนึ่ง Platform คือ
-      ภาษาจาวา ซึ่งเป็นภาษาแบบวัตถุที่ใช้ในการเขียนและพัฒนาโปรแกรมจาวา
-       Java platform คือ platform หรือสภาพแวดล้อมที่ใช้ในการรันโปรแกรมจาวา โปรแกรมจาวาจะทำงานบน Java platform เท่านั้น  Java platform จะประกอบไปด้วยสองอย่าง คือ Java VM (JVM) และ runtime library  โปรแกรมจาวาที่เราเขียนขึ้นจะทำงานบน platform ใดก็ได้ที่มี Java platform ทำงานอยู่
จุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการ ในการพัฒนาจาวา คือ
-      ใช้ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ
-      ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (สถาปัตยกรรม และ ระบบปฏิบัติการ)
-      เหมาะกับการใช้ในระบบเครือข่าย พร้อมมีไลบรารีสนับสนุน
-      เรียกใช้งานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

 จาวาแพลตฟอร์ม และ ภาษาจาวา
เนื่องจากชื่อที่เหมือนกัน และการเรียกขานที่มักจะพูดถึงพร้อมกันบ่อยๆ ทำให้คนทั่วไป มักสับสนว่า ภาษาจาวา และ จาวาแพลตฟอร์ม เป็นสิ่งเดียวกัน
ในความเป็นจริงนั้น ทั้งสองสิ่ง แม้จะทำงานเสริมกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่แยกออกจากกัน โดย ภาษาจาวานั้น คือภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น ส่วน จาวาแพลตฟอร์มนั้น คือสภาพแวดล้อมสำหรับการใช้งานโปรแกรมจาวา โดยมีองค์ประกอบหลักคือ จาวาเวอร์ชวลแมชีน (Java virtual machine) และ ไลบรารีมาตรฐานจาวา (Java standard library)
โปรแกรมที่ทำงานบนจาวาแพลตฟอร์มนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสร้างด้วยภาษาจาวา เช่น อาจจะใช้ ภาษาไพทอน (Python) หรือ ภาษาอื่นๆ ก็ได้
ส่วนภาษาจาวานั้น ก็สามารถนำไปใช้พัฒนาโปรแกรมสำหรับแพลตฟอร์มอื่นได้เช่นเดียวกัน เช่น คอมไพเลอร์ gcj สามารถคอมไพล์โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาจาวา ให้ทำงานได้ โดยไม่ต้องใช้ จาวาเวอร์ชวลแมชีน
ข้อดีของภาษาจาวา
-      โปรแกรมจาวาที่เขียนขึ้นสามารถทำงานได้หลาย platform โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือ compile ใหม่ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องเสียไปในการ port หรือทำให้โปรแกรมใช้งานได้หลาย platform
-      ภาษาจาวาเป็นภาษาเชิงวัตถุ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
-      ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
-      ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
-      ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น
-      มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ
ข้อเสียของภาษาจาวา
-      ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลางก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีกทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile  โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
-      tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)

 XML (Extensive Markup Language)

XML ย่อมาจาก Extensive Markup Language เป็นตัวกลางที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้จะไม่ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มใด

XML เป็นส่วนเสริมของ HTML กล่าวคือตัว XML ไม่สามารถแสดงผลได้ในตัวของมันเอง หากต้องการแสดงผลที่ถูกต้อง จะต้องมีการใช้ร่วมกับภาษาอื่น เช่น HTML, JSP, PHP, ASP, VB,*.NET หรือภาษาอื่น ๆ ที่สนับสนุน โดย XML นั้นเป็นภาษาหนึ่งที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล ถ้าเปรียบเทียบกับภาษา HTML จะแตกต่างกันที่ HTML ถูกออกแบบมาเพื่อการแสดงผลอย่างเดียวเท่านั้น เช่นให้แสดงผลตัวเล็ก ตัวหนา ตัวเอียง เหมือนที่คุณเคยเห็นในเวบเพจทั้วไป แต่ภาษา XML นั้นถูกออกแบบมาเพื่อเก็บข้อมูล โดยทั้งข้อมูลและโครงสร้างของข้อมูลนั้นๆไว้ด้วยกัน ส่วนการแสดงผลก็จะใช้ภาษาเฉพาะซึ่งก็คือ XSL (Extensible Stylesheet Language)


Extensive Markup Language เป็นฟอร์แมตที่อธิบายถึงรายละเอียดของโครงสร้างและแบบของข้อมูลเป็นภาษาหรือชุดคำสั่งเกี่ยวกับข้อมูลบนเว็บ ที่ให้การพัฒนาและมีศักยภาพในส่วนของโครงสร้างข้อมูลจากหลากหลายแอพพลิเคชันมานำเสนอบนเครื่องเดสก์ทอป ด้วย XML จะทำให้การจัดการข้อมูลหรือเรียกใช้ข้อมูลจากแอพพลิเคชันต่างๆ จะเข้าสู่มาตรฐานเดียวกัน
XML จะเป็นส่วนหนึ่งของ HTML ซึ่ง XML จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูล เช่น ชื่อเมือง อุณหภูมิ ความกดอากาศ ส่วน HTML เป็นการกำหนด tag ต่างๆ ที่จะทำให้ข้อมูลแสดงออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งข้อมูลจะสามารถแสดงออกมาได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตารางหรือ text ธรรมดา ขึ้นอยู่กับการกำหนดของ HTML และในปัจจุบันนี้ ด้วย XML จะมีการให้รายละเอียดของเนื้อหาเอกสารที่เรียกว่า Document Type Definition (DTD) ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเอกสารว่าจะแสดงหรือซ่อนส่วนไหนของเอกสารบ้าง ซึ่ง DTD จะเป็นส่วนที่เพิ่มเติมสำหรับ XML ถ้าหากมีการส่งข้อมูลในรูปแบบ DTD ก็จะรู้กันว่าเป็น XML มีความหมายหลาย ๆ คำที่ อธิบายลักษณะของ XML
Richard Baldwin นิยามความหมายของ XML ไว้ดังนี้
"XML ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างและดูแล structured documents (เอกสารที่มีโครงสร้าง) ที่บรรจุ plain text (ตัวอักษร) โดยทำให้สามารถ rendered หรือปรับเปลี่ยนการแสดง ผลในรูปแบบที่หลากหลาย จุดประสงค์หลักของ XML คือการแยกส่วน ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการแสดงผล"
XML เป็น จะมีนามสกุลเป็น *.XML สามารถสร้างขึ้นจากโปรแกรมประเภท Text Editor ใดก็ได้ เช่น Notepad, Edit plus, DreamWeaver, MS Word เป็นต้น

XML อาศัยโปรโตคอลที่ชื่อว่า SOAP (Simple Object Access Protocal) ซึ่งเป็นข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างกัน

ความเป็นมาของ XML (Extensive Markup Language)
โปรโตคอลอินเตอร์เน็ต (Internet Protocol-IP), Hypertext Markup Language และ Hypertext Transport Protocol (HTTP) ได้เป็นการปฏิวัติและสร้างมิติใหม่ในการกระจายข้อมูลและสารสนเทศ การนำเสนอ ตลอดจนการค้นคืน โดยให้ผู้ใช้สามารถใช้สารสนเทศที่ต้องการได้ง่ายด้วยเบราวเซอร์ และมี search engine หรือเครื่องมือในการช่วยค้นหา นอกจากนั้นยังมีการประยุกต์ไปใช้กับเครือข่ายในสำนักงานหรืออินเตอร์เน็ต และใช้สำหรับการบริการข้อมูลสำหรับลูกค้าและคู่ค้าให้สามารถตอบสนองทางด้านสารสนเทศที่ต้องการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับ Extensive Markup Language จะให้ประโยชน์อย่างเต็มที่เมื่อทำงานร่วมกับ HTML ด้วยเหตุที่ว่า XML ได้มีความพร้อมในแง่ของรายละเอียด และการนำข้อมูลตลอดจนโครงสร้างข้อมูลมาแสดงได้ในรูปแบบ Text ผ่านทาง HTTP ที่เปิดให้ข้อมูลขึ้นใหม่และมีความสามารถในการจัดข้อมูลได้อีกด้วย ในการเขียนเว็บเพจเมื่อใช้ HTML ผู้พัฒนาสามารถกำหนดได้ว่าส่วนไหนจะเป็นตัวหนา ตัวเอียง หรือตัวอักษรเป็นแบบไหน ส่วน XML นั้นจะเป็นการเตรียมส่วนของข้อมูลที่จะนำไปใส่ในช่องที่กำหนดตามการเขียนของ HTML ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลด้านราคา หรือราคาที่ตั้งสำหรับการจัดรายการส่งเสริมการขาย อัตราภาษี ค่าขนส่ง เป็นต้น
XML ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Standard Generalized Language Markup Language (SGML) ที่เป็นข้อกำหนดในการสร้างหรือจัดทำเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่กำหนดโดย W3C หรือ World Wide Web Consortium สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก http://www.w3.org/TR/REC-xmlที่มีโครงสร้างและรูปแบบที่เปิดให้แอพพลิเคชันต่างๆ สามารถเรียกไปใช้งานได้ เช่น บนเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น และทางไมโครซอฟท์ได้มีการทำงานร่วมกับ W3C เพื่อพัฒนามาตรฐานข้อมูลบนเว็บที่ให้ HTML สามารถแสดงข้อมูลที่ XML ได้เตรียมไว้ และทางไมโครซอฟท์เองได้มีการเปิดตัว เบราว์เซอร์ตั้งแต่ IE 4.0 เป็นต้นไป ที่สามารถเรียกดูและประมวลผลข้อมูลได้ และเป็นข้อกำหนดให้ เบราว์เซอร์เวอร์ชันใหม่ของค่ายไมโครซอฟท์สนับสนุน XML
สิ่งที่ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์ของ XML นั้นจะเป็นความสะดวกในการจัดการด้านระบบการติดต่อกับผู้ใช้จากโครงสร้างของข้อมูล เราสามารถนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาแสดงผลและประมวลผลร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า รายการสั่งซื้อ ผลการวิจัย รายการรับชำระเงินข้อมูลเวชระเบียน รายการสินค้าหรือข้อมูลสารสนเทศอื่นๆ ก็สามารถแปลงให้เป็น XML ได้ และในส่วนของข้อมูลสามารถปรับให้เป็น HTML ได้
สำหรับประโยชน์ในการใช้งานนั้น เราจะสามารถนำมาใช้สำหรับการเข้าถึงระบบข้อมูลขนาดใหญ่ใช้กับระบบเครือข่ายในองค์กร หรืออินเตอร์เน็ตเพื่อดูข้อมูลหรือเรียกใช้ข้อมูลที่ให้การแสดงผลทางหน้าจอที่รวดเร็วและง่ายในการจัดการ

วัตถุประสงค์หลักของ XML
ความหมายของ XML ก่อนหน้านี้ ได้บอกเอาไว้ว่า "จุดประสงค์หลักของ XML คือการแยกส่วน ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการแสดงผล" นั่นคือ เอกสาร XML ใช้สำหรับควบคุม ตัวอักษร (plain text) โดยยึดเอาข้อมูลที่มีใจความเหมือนกัน แต่สามารถนำเอาไปแสดงผล ให้ผู้ใช้หรือผู้อ่านหลายคนได้รับรู้ข้อมูลใจความเดียวกัน เมื่อมองผ่านอุปกรณ์แสดงผลลัพธ์ที่ต่างกัน ซึ่งลักษณะเหล่านี้ ไม่เกิดขึ้นจริงกับ เอกสารประเภทประมวลผลคำอื่นๆ word processing หลากหลายคอมพิวเตอร์และหลากหลายระบบปฏิบัติการ นี้ไม่ใช้สิ่งที่ควรจะละเลยได้เลย เห็นได้ชัดว่าหลายๆปีที่ผ่านมา คอมพิวเตอร์หลากหลายชนิดถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก เพื่อใช้งาน รวมถึงระบบปฏิบัติการ(Operation System) ก็ยังมีความแตกต่างกันออกไปด้วย นั่นคือคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆจึงมีความหลากหลาย และยุ่งยากในการทำให้เข้าใจข้อมูลเดียวกัน ซึ่งเปรียบแล้วเหมือนกับภาษามนุษย์ที่ใช้สื่อสารกัน มีมากมายหลายร้อยภาษา

W3C ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายหลักไว้ 10 หัวข้อ ดังนี้
1. XML มีการใช้งานโดยตรงบนเครือข่าย Internet โดย XML จะถูกออกแบบมาสำหรับจัดเก็บและจัดส่งข้อมูลบนเว็บ
2. XML มีการสนับสนุนโปรแกรมที่หลากหลาย
3. XML จะต้องเข้ากันได้กับ SGML
4. XML จะต้องง่ายต่อการเขียนโปรแกรมเพื่อประมวลผลเอกสาร
5. จำนวนของทางเลือกเฉพาะของ XML ควรมีจำนวนน้อยที่สุดหรือไม่ควรมีเลย
6. เอกสาร XML จะต้องอ่านเข้าใจง่ายและมีความชัดเจน
7. XML ออกแบบมาเพื่อให้พัฒนาโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว
8. การออกแบบ XML ต้องมีรูปแบบที่เหมาะสมและกะทัดรัด
9. สามารถสร้างเอกสาร XML ได้ง่าย
10. Markup ของ XML ต้องไม่รวบรัดมากเกินไป
ถึงแม้ว่าวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ การจัดส่งข้อมูลบนเว็บผ่านทางเซิร์ฟเวอร์และโปรแกรมเบราว์เซอร์ XML จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับโปรแกรมที่มีรูปแบบต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโปรแกรมทางด้านการเงิน การเผยแพร่และปรับปรุงโปรแกรมให้ทันสมัยและการเขียน Voice Script ให้สื่อสารได้ด้วยโทรศัพท์

ภาษาสำหรับจัดการโครงสร้างเอกสาร
XML พยายามลดข้อจำกัดของความแตกต่าง ทางด้านระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างเป็นภาษาที่ใช้กำหนดโครงสร้างของเอกสาร ให้สามารถเข้าใจกันได้ในทุก ๆ ระบบ XML คือภาษาที่มีลักษณะเมต้า (meta language)
เมต้า หมายถึงรูปแบบการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ที่นำมาจากแหล่งข้อมูลข่าวสารอื่นๆ เช่น บทอ้างอิงในหนังสือสามารถบอกผู้อ่านได้ ถ้าถูกรวบรวมเนื้อหาไว้ด้วย XML ผู้อ่านจะสามารถรู้ว่าหัวข้อที่ตัวเองสนใจ จะไปอยู่ที่หน้าที่เท่าไหร่ของหนังสือ ซึ่งเมื่อเปิดไปยังหน้าดังกล่าวแล้ว จะได้รับข้อมูลที่อ้างไปถึงจากหัวข้อในบทอ้างอิงนั่นเอง ดังนั้นแต่ละหัวข้อในบทอ้างอิงจึงเป็น ข้อมูล ที่ได้รวบรวมมาจากข้อมูลในเนื้อหา บทอ้างอิงจะสามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับ element (elements) และแอตทริบิวต์ (attributes) ซึ่งจะมีเนื้อหาต่อไปได้ เราจึงใช้ XML เป็นภาษาเมต้า

 ส่วนประกอบของข้อมูล
XML เป็นการทำงานในระดับกลาง middle tier ที่สามารถเรียกใช้ฐานข้อมูลได้หลากหลายระบบฐานข้อมูลและโอนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของ XML และมีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวข้อมูล โครงสร้างต่างๆ ของระบบฐานข้อมูลได้ XML เป็นระบบเปิดที่นำเสนอข้อมูลในรูปแบบ text ผ่านทาง HTTP เหมือนกับ HTML แต่จะมีคุณสมบัติในการให้ข้อมูลแบบ real time อัพเดทหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อกำหนด การแสดงข้อมูลจาก XML ใน HTML จะเป็นการเพิ่มในส่วนของรายละเอียดข้อมูล ที่มีการเรียกใช้จากแหล่งหรือฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกันในหลายแหล่ง เพื่อให้ HTML มีความสมบูรณ์มากขึ้น
ในอนาคตการพัฒนาเว็บหรือการเขียนและสร้าง HTML ไม่จำเป็นต้องมีการเขียนชุดคำสั่งที่ยุ่งยากซับซ้อนมากก็สามารถทำงานร่วมกับระบบข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ XML จะทำการกำหนดค่าสำหรับโครงสร้างข้อมูลที่จะนำไปแสดงใน HTML นอกจากนั้นยังสามารถนำไปสนับสนุนระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทาง Electronic ได้อย่างดีอีกด้วยเครื่องมือและการสนับสนุน
เครื่องมือที่ใช้ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบที่ใช้มาตรฐาน XML ได้รับการสนับสนุนจากคู่ค้าหลายราย นอกจากนั้นได้มีการร่วมมือเพื่อกำหนดมาตรฐานในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้รองรับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านระบบข้อมูล ระบบสารสนเทศ ข่าวสารที่ต้องการความรวดเร็ว เพื่อทันต่อเวลาการนำเสนอ
ประโยชน์จาก XML
สำหรับประโยชน์ของ XML นั้น เป็นด้านความยืดหยุ่นในการใช้งานสำหรับแอพพลิเคชันที่อิงกับ Web Base ที่ใช้ง่ายในการค้นหาข้อมูล มีความยืดหยุ่นในการพัฒนาเว็บ สามารถผสมผสานข้อมูลจากหลายแหล่ง จากแอพพลิเคชันที่ต่างกัน สามารถแสดงข้อมูลแบบต่างๆ และสามารถ update ข้อมูลให้ทันสมัยเสมอ และคาดว่าจะเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบเปิด ซึ่งนับเป็น format ใหม่สำหรับการส่งข้อมูลบนเว็บที่มากด้วยข้อมูลหลายแบบ แต่ส่งผ่านด้วยเทคโนโลยีที่บีบอัดข้อมูลที่ให้ความเร็วได้รับการสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์