วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

5 นาทีกับการจัดการความรู้

5 นาทีกับการจัดการความรู้
อ. สมชาย นำประเสริฐชัย



ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหน ความรู้นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้บุคคลหรือองค์กรประสบความสำเร็จในระยะยาว และในอนาคตนี้จะทวีความสำคัญมากยิ่ง ๆ ขึ้น แต่ละองค์กรจำเป็นต้องมีกระบวนการเพื่อให้มีความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็วกว่าคู่แข่ง การจัดการโครงสร้างการจัดการความรู้ที่เหมาะสมมาใช้ในเวลาที่ต้องการ นอกจากนี้ฐานความรู้ยังช่วยให้องค์กรสามารถให้เหมาะสมได้ เพราะว่าในส่วนของความรู้ ความเชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่เคยขึ้นอยู่กับตัวบุคลากรนั้นจะถูกเก็บอยู่ในฐานความรู้แทน ความรู้เป็นสิ่งที่สามารถได้รับจากหลาย ๆ แหล่งที่อิสระ เช่น การเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ ฐานข้อมูล หรือระบบสารสนเทศต่าง ๆรู้จักกับ KBS และ KM
เมื่อจะกล่าวถึงเรื่องราวของความรู้แล้วมักจะได้ยินว่า Knowledge Based System (KBS) และ Knowledge Management (KM) ในส่วนของ KMS เป็นส่วนของระบบฐานความรู้ ซึ่งนับว่าเป็นศาสตร์สาขาหนึ่ง ในปัญญาประดิษฐ์ สำหรับ KM นั้นเป็นเรื่องของการจัดความรู้ ซึ่งกล่าวได้ว่ามีขอบเขตที่กว้างมากกว่าการจัดการข้อมูล (Data Management) การจัดการสารสนเทศ (Information Management) หรือแม้แต่การจัดการระบบ (System Management) การที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องของการจัดการความรู้นั้นไม่ได้ ขึ้นกับเทคโนโลยีสารสนเทศหรือระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น เช่น รูปแบบขององค์กร สังคม พฤติกรรม และยังรวมถึงวัฒนธรรมด้วย แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีสารสนเทศได้มีส่วนช่วยในการสรุปรวบรวม และเข้าถึงแหล่งความรู้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวของบริษัท หรือร้านค้าที่ประกอบการค้าอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้นยังเกี่ยวข้อง และรวมถึงหน่วยงานที่ไม่แสวงกำไร และองค์กรสาธารณะอีกด้วยระบบฐานความรู้
ระบบฐานความรู้ (KBS) นั้นให้คอมพิวเตอร์สามารถรับความรู้จากภายนอก เก็บเข้าถึงและเรียกใช้ความรู้ผ่านโปรแกรมโดยใช้หลักของกระบวนการที่มีเหตุผลสำหรับการแก้ปัญหาในเรื่องราวที่สนใจที่เรียกว่าโดเมน (Domain) ในส่วนของ KBS นี้ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญคือ
1. ฐานความรู้ (Knowledge Base) เป็นหัวใจของระบบ KBS เป็นส่วนที่เก็บกฎและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งอาจเก็บอยู่ในรูปแบบง่าย ๆ อย่างเช่น if X then Y โดยมีจำนวนกฎจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การแทนความรู้เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากรูปแบบของความรู้นั้นไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว
2. เครื่องจักรอนุมาน (Inferrence Engergy) เป็นส่วนที่ใช้ในการตีความตามกฎต่าง ๆ เริ่มจากการตรวจสอบฐานข้อมูลถึงการกำหนดสมมติฐาน หากไม่ตรงตามสมมติฐานก็จะตีความตามกฎที่อยู่ใน Workledge Base
3. ฐานข้อมูล (Database) เก็บสมมติฐาน และสถานะเริ่มต้นในการเริ่มกระบวนการค้นหา นอกจากนี้ยังเก็บความจริงที่กำหนดโดยผู้ใช้ด้วย

รูปที่ 1 วัฎจักรของระบบฐานความรู้
เป้าหมายของการจัดการความรู้
การจัดการความรู้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนาก็ตาม สำหรับการประเมินทางนามธรรมและทรัพย์สินทางปัญญา ระบบการจัดการความรู้นั้นมักมีโครงสร้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังนี้คือความพร้อมของความรู้ (Available)
การที่จะสามารถเรียกใช้หรือค้นหาเพื่อใช้ประโยชน์จากความรู้ได้นั้น จำเป็นต้องมีความพร้อมของความรู้ก่อน ความรู้แบ่งออกเป็นความรู้ภายนอก (External Knowledge) และความรู้ภายใน (Internal Knowledge) แหล่งความรู้ภายนอกนั้นต้องมีการค้นหา การประเมินและรวบรวม ซึ่งวิธีที่ง่ายก็คือการใช้เครื่องมือค้นหาหรือที่เรียกว่าเสิร์จเอ็นจิน สำหรับฐานความรู้ภายในสำหรับองค์กรนั้นเป็นสิ่งที่ยุ่งยากเนื่องจากความรู้ไม่ได้อยู่ในรูปแบบสำเร็จที่สามารถใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องสร้างหรือปรับเปลี่ยนเองโดยใช้เทคโนโลยีและความร่วมมือของพนักงานในองค์กร เช่น การเพิ่มข้อมูลของแต่ละคนลงในฐานความรู้ขององค์กรในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สไลด์ เอกสาร หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การที่ประสบความสำเร็จได้นั้นจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้รู้สึกว่าเกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งของพนักงานและองค์กร นอกจากนี้องค์กรยังต้องมีเครื่องมือช่วยในการรวบรวมและค้นหา (Integrated Knowledge Query Engine) ทั้งความรู้ภายนอกและภายในเข้าด้วยกันเพื่อให้การเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้นความถูกต้องของการเรียกค้น (Accurate in Retrieval)
การเรียกค้นของเป็นจุดที่กำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวของระบบโครงสร้างความรู้ การเรียกค้นในปัจจุบันได้มีการพัฒนาจนแทบเรียกได้ว่าเกือบล้มเลิกเทคนิคการเรียกค้นแบบเดิม ๆ ที่ใช้คำสำคัญในการค้นหาโดยส่วนของข้อมูลทั้งเวลาที่เก็บและเรียกค้นเพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ตัวอย่างของปัญหาการค้นหาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เช่น การค้นหาข้อมูลในเว็บที่ใช้เวลามากและยังให้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นที่ต้องการจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้เครื่องมือค้นหาในเว็บได้ใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยการพยายามที่จะเข้าใจเนื้อหาของคิวรีและเอกสาร การค้นหาได้มีการนำการจัดหมวดหมู่ (Classification) มาใช้ร่วมกับคำสำคัญเพื่อกรองความรู้อีกลำดับหนึ่งความรู้ที่มีคุณภาพ (Effective Knowledge)
ความรู้ในฐานความรู้ต้องมีคุณภาพสำหรับเป็นฐานความรู้เพื่อให้บรรลุความสำเร็จ หากคุณภาพของฐานความรู้ด้อยลงก็จะส่งผลให้มีการใช้แหล่งความรู้ลดลงหรืออาจเลิกใช้ไปเลยก็ได้ ความมั่นใจในคุณภาพของความรู้ในฐานความรู้ภายนอกนั้น ต้องอาศัยปัจจัยหลายประการในการพิจารณา เช่น ชื่อ การสรุปจากผู้รู้ และหลังจากเรียกดูก็มีโอกาสในการประเมินคุณภาพและเพิ่มข้อมูลลงไปเพื่อเป็นค่าเฉลี่ยสำหรับกรองความรู้ในการเรียกค้นต่อไปความสามารถเข้าถึงความรู้ (Accessible Knowledge)
โครงสร้างของการจัดการความรู้นั้นต้องให้ผู้ต้องการสามารถเข้าถึงและใช้งานได้เมื่อต้องการสรุป
ความรู้เป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าจะเป็นกับการดำเนินการในเรื่องราวใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฐานความรู้ที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถที่จะนำความรู้มาใช้ได้อย่างเหมาะสมในเวลาที่ต้องการ

จัดทำโฮมเพจโดย : สำนักบริการคอมพิวเตอร์, 3 เมษายน 2544

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น